ถาม – ตอบ งานเครื่องยนต์เบื้องต้น
1. ใครเป็นผู้สร้างเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในเป็นเครื่องแรก
ตอบ โรเบริ์ต สตรีท (Robert Street) ชาวอังกฤษ สร้างในปี ค.ศ.1794 (พ.ศ.2337)
2. ใครเป็นผู้พิมพ์เอกสารหลักการทำงานของเครื่องยนต์ 4 จังหวะเป็นครั้งแรก
ตอบ โปเดอร์ โรชา (Beau De Rochas) ชาวฝรั่งเศส โดยเน้นหลักการต่อไปนี้
1. การอัดตัวของส่วนผสมของน้ำมันกับอากาศสูงสุดที่จุดเริ่มต้นของการขยายตัวเท่าที่จะเป็นไปได้
2. การขยายตัวมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
3. การขยายตัวรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
4. ปริมาตรความจุของกระบอกสูบมากที่สุด โดยมีพื้นที่ระบายความร้อนน้อยที่สุด
3. ใครเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องยนต์แก๊สโซลีน 2 จังหวะ
ตอบ เซอร์ดูกาล์ดเคลิก(Sir Dugalald Clerk)ชาวอังกฤษ ประดิษฐ์ในปี ค.ศ.1881(พ.ศ.2423)
4. ใครเป็นผู้ติดตั้งเครื่องยนต์ แรงม้าบนรถจักรยานยนต์
ตอบ เดมเลอร์ ในปี ค.ศ. 1884 (พ.ศ. 2426)
5. ใครเป็นผู้ผลิตรถเบนซ์ขึ้น และจัดได้ว่าเป็นเครื่องยนต์สมัยใหม่เครื่องแรก
ตอบ เดมเลอร์ ผลิตในปี ค.ศ. 1901 (พ.ศ. 2444)
6. ใครเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องยนต์ 2 แรงม้า
ตอบ เบนซ์ ในปี ค.ศ. 1894 (พ.ศ. 2437)
7. เครื่องมือช่างยนต์พื้นฐาน แบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอบ 3 ประเภท ดังนี้
1. เครื่องมือ หมายถึง เครื่องมือที่มีไว้ถอด ประกอบ ปรับแต่ง ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ มีหลายรูปร่างลักษณะ
2. เครื่องมือวัด หมายถึง เครื่องมือที่มีไว้วัดขนาด วัดความห่าง ช่องว่าง ค่าพิกัดของชิ้นส่วนของเครื่องยนต์
3. เครื่องจับยึดชิ้นส่วน หมายถึง เครื่องมือที่มีไว้ประกอบชิ้นส่วนของเครื่องยนต์เข้าด้วยกัน ให้แข็งแรงมั่นคง
8. เครื่องยนต์ หมายถึงอะไร
ตอบ เครื่องจักรหรือเครื่องมือกลที่สามารถเปลี่ยนพลังงานความร้อนเป็นพลังงานกล
9. ตัวอย่างของเครื่องยนต์ที่สามารถทำประโยชน์ให้กับมนุษย์ ได้แก่
ตอบ 1. เครื่องจักรไอน้ำ ( steam engine )
2 เครื่องยนต์สเตอริง ( stering engine )
3. เครื่องยนต์สูบอิสระ ( free piston engine )
4. เครื่องยนต์ แก๊สโซลีน ( gasoline engine )
5. เครื่องยนต์ แกีสเหลว ( LP.gas engine )
6. เครื่องยนต์ดีเซล ( diesel engine )
7. เครื่องยนต์โรตารี่ ( rotary engine )
8. เครื่องยนต์กังหันแก๊ส ( gas turbine engine )
10. ชนิดของเครื่องยนต์ มีกี่ชนิด
ตอบ 3 ชนิด คือ 1. แบ่งตามลักษณะการเผาไหม้ 2. แบ่งตามลักษณะการจัดวางกระบอกสูบ
3. แบ่งลักษณะการจุดระเบิดหรือการเผาไหม้
11. เครื่องยนต์ตามลักษณะการเผาไหม้ แบ่งเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 2 ชนิด คือ
1.1 เครื่องยนต์เผาไหม้ภายนอก ( External Combustion Engine )
คือ เครื่องยนต์เผาไหม้ภายนอก ได้แก่ เครื่องยนต์ ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานความร้อน อันเกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงภายนอกกระบอกสูบมาเป็นพลังงานได้ เช่น หัวรถจักรไอน้ำ
1.2 เครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน ( Internal Combustion Engine )
คือ เครื่องยนต์ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานความร้อนอันเกิดการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงภายในกระบอกสูบมาเป็นพลังงานกลได้ เครื่องยนต์ดังกล่าวได้แก่
1. เครื่องยนต์แก๊สโซลีน
2. เครื่องยนต์แก๊สเหลว
3. เครื่องยนต์ดีเซล
4. เครื่องยนต์โรตารี่
12. เครื่องยนต์แบ่งตามลักษณะการจัดวางกระบอกสูบ มีกี่แบบ อะไรบ้าง
ตอบ 5 แบบ คือ
13. เครื่องยนต์แบ่งตามลักษณะการจุดระเบิด หรือการเผาไหม้ แบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอบ 2 ประเภท
1. เครื่องยนต์น้ำมันเบา
เครื่องยนต์ชนิดนี้ใช้วิธีการดูดไอน้ำมันกับอากาศเข้าไปอัดในกระบอกสูบ เมื่อหัวเทียนจุดประกายไฟ จะทำให้ส่วนผสมระเบิดดันลูกสูบให้เลื่อนลงให้กำลังงานออกมาเครื่องยนต์ชนิดนี้เรียกว่า เครื่องยนต์แก๊สโซลีน (GasolineEngine)
2 เครื่องยนต์น้ำมันหนัก
เครื่องยนต์ชนิดนี้ใช้วิธีการดูดเอาน้ำมันล้วน ๆ เข้าไปในกระบอกสูบ แล้วอัดจนเกิดความดันและความร้อนสูง แล้วทำการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปทำให้เกิดการจุดระเบิดได้กำลังงานออกมา เครื่องยนต์ชนิดนี้เรียกว่า เครื่องยนต์ดีเซล (Diesel Engine)
14. ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์แบ่งตามลักษณะหน้าที่และการทำงาน มีอะไรบ้าง
ตอบ 1. ชิ้นส่วนเคลื่อนที่ไป - มา
2. ชิ้นส่วนเคลื่อนที่หมุนรอบตัว
3. ชิ้นส่วนที่อยู่กับที่
15. ชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่ไป - มา หมายถึงอะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ตอบ ชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่ในลักษณะเส้นตรง เช่น แนวนอน และแนวตั้ง ประกอบด้วย
1.ลูกสูบ 2. แหวนลูกสูบ 3. ก้านสูบ 4. ลิ้น 5. บ่าลิ้น 6. สปริงลิ้น 7. กลไกการเปิด-ปิดลิ้น
8. กระเดื่องลิ้น 9. ก้านกระทุ้ง 10. ลูกกระทุ้ง
16. ชิ้นส่วนเคลื่อนที่หมุนรอบตัว ประกอบด้วย
ตอบ 1. เพลาข้อเหวี่ยง 2. เพลาลูกเบี้ยว 3. ล้อช่วยแรง
17. ชิ้นส่วนที่อยู่กับที่ ประกอบด้วย
ตอบ 1. เรือนสูบและห้องเพลาข้อเหวี่ยง 2. ฝาสูบ 3.ปะเก็นฝาสูบ 4. อ่างน้ำมันหล่อลื่น 5. เสื้อสูบ 6. ปลอกสูบ 7. แบริ่ง
18. การทำงานของเครื่องยนต์ แบ่งออกเป็นกี่ลักษณะอะไรบ้าง
ตอบ 2 ลักษณะ คือ
เครื่องยนต์ 2 จังหวะ
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ
19. การทำงานของเครื่องยนต์ 2 จังหวะ เป็นอย่างไร
ตอบ เครื่อง 2 จังหวะ ถูกออกแบบให้มีช่องไอดี และไอเสีย อยู่ที่กระบอกสูบ ซึ่งช่องนี้ จะเปิด หรือปิดได้ อยู่ที่การเคลื่อนที่ของตัวลูกสูบ เท่ากับว่าลูกสูบ ทำหน้าที่เป็นวาล์วไปในตัว
1. จังหวะดูด และอัด เป็นจังหวะที่ลูกสูบเคลื่อนที่จากศูนย์ตายล่าง ขึ้นสู่ศูนย์ตายบน ระหว่างการเคลื่อนที่นี้เองด้านบนลูกสูบ คือการอัดอากาศไอดี ในขณะเดียวกัน ช่องไอเสีย(พอตไอเสีย)จะถูกปิด
ด้วยตัวลูกสูบโดยอัตโนมัติโดยที่เวลาเดียวกันนี้เองรีดวาล์วก็จะเปิดช่องไอดี (พอตไอดี)ทำให้อากาศไอดีไหลเข้าสู่ห้องเพลาข้อเหวี่ยงโดยอัตโนมัติ
2. จังหวะระเบิด และจังหวะคาย เมื่อลูกสูบ เคลื่อนที่ขึ้นไปสู่ศูนย์ตายบน ก็จะเกิดประกายไฟจากหัวเทียนทำให้เกิดระเบิดเพื่อดันลูกสูบลงไปสู่ศูนย์ตายล่างอีกครั้ง
ในระหว่างการเคลื่อนที่ลงครั้งนี้ ความสูงของลูกสูบ ก็จะไปปิดช่องอากาศทางเข้าไอดี และด้านบนของลูกสูบก็จะพ้นช่องทางออกของไอเสียทำให้อากาศไอเสียไหลผ่านออกไป
ในขณะเดียวกันนี้เองที่ด้านบนของลูกสูบก็จะพ้นช่องจากห้องเพลาข้อเหวี่ยง ไอดีจากห้องเพลาข้อเหวี่ยงไหลเข้าไปขับไล่ไอเสียและเข้าไปแทนที่ในห้องเผาไหม้
20. การทำงานของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ เป็นอย่างไร
ตอบ 1.จังหวะดูด (Suction Stroke) ลูกสูบเคลื่อนที่ลง ลิ้นไอดีเปิด ลิ้นไอเสียปิด
ดูดให้ไอดีไหลเข้ากระบอกสูบ
2. จังหวะอัด (Compression Stroke) ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้น ลิ้นไอดีและลิ้นไอเสียปิดทั้งคู่ไอดีเกิดถูกอัดความดัน
3. จังหวะระเบิด (Expansion Stroke) ลูกสูบเคลื่อนที่ใกล้สุด หัวเทียนจุดประกายไฟ
เกิดการเผาไหม้ ดันให้ลูกสูบเคลื่อนที่ลงลิ้นทั้งคู่ยังคงปิดอยู่
4. จังหวะคาย (Exhaust Stroke) ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้น ลิ้นไอดี ส่วนปิดลิ้นไอเสียเปิดไล่ไอเสียออก เป็นการหมุนครบ 1 วัฏจักรหรือครบ 2 รอบ เพลาข้อเหวี่ยงหมุน 2 รอบได้งาน 1ครั้ง
ถาม – ตอบ งานเครื่องมือกลเบื้องต้น
******************
1. เครื่องมือกล ( MACHINE TOOLS ) ได้แก่
ตอบ • เครื่องเลื่อยกล (Sawing Machine)
• เครื่องกลึง (Lathe Machine)
• เครื่องกัด (Milling Machine)
• เครื่องไส (Shappening Machine)
• เครื่องเจาะ (Drilling Machine)
• เครื่องเจียระไน (Grinding Machine)
2. เครื่องเลื่อยกล แบ่งออกเป็นกี่ชนิด
ตอบ 4 ชนิด ได้แก่ 1. เครื่องเลื่อยชัก
2. เครื่องเลื่อยสายพานแนวนอน
3. เครื่องเลื่อยสายพานแนวตั้ง
4. เครื่องเลื่อยวงเดือน
3. การทำงานของ เครื่องเลื่อยชักเป็นอย่างไร
ตอบ เครื่องเลื่อยชักจะทำงานด้วยกำลังของมอเตอร์ที่ส่งกำลังผ่านเฟืองขับที่เป็นเฟืองทดมาทดความเร็วรอบและแรงขับของมอเตอร์ โดยที่ข้างเฟืองขับ มีจุดหมุนก้านต่ออยู่ที่คนละศูนย์ กับศูนย์กลางเฟือง เพื่อต่อก้านต่อไปยังขับโครงเลื่อย ให้ชักโครงเลื่อยเคลื่อนที่เดินหน้าและถอยหลังได้
4. โครงเลื่อยชักมีลักษณะเป็นอย่างไร
ตอบ โครงเลื่อย Saw Frame จะเหมือนตัวยูคว่ำ โครงเลื่อยส่วนใหญ่ทำจากเหล็กหล่ออย่างดีสำหรับติดตั้งใบเลื่อย ขยับไปมาในร่องหางเหยี่ยวได้ด้วย กำลังจากล้อเฟือง
5. เครื่องเลื่อยสายพานแนวนอนมีลักษณะเป็นอย่างไร
ตอบ เลื่อยสายพาน มีความเร็วในการตัดสูง และมีความแม่นยำที่สูงกว่า สามารถตัดทั้งเหล็กตัน เหล็กฉาก เหล็กกล่อง หรือแป๊บ มีใบเลื่อยยาวติดต่อกันเป็นวงกลม การเคลื่อนที่ของใบเลื่อย มีลักษณะแแบบเดี่ยวกับสายพาน คือมีล้อขับและล้อตาม ทำให้มีความรวดเร็วในการทำงาน คมตัดของใบเลื่อยสามารถเลื่อยตัดงานได้ต่อเนื่องทั้งใบ ช่วยลดต้นทุนในการผลิต
เครื่องเลื่อยสายพานแนวนอน จะมีตัวฐานเครื่อง Base จะเป็นตัวรับน้ำหนัก จะมีฐานรองเครื่อง Mounting Pads ใช้ในการปรับระดับ ระบบไฮดรอลิกส์ควบคุมความตึงของใบเลื่อย ปรับได้ด้วยมือหมุน หรือใช้ไฮดรอลิกปรับระยะห่างของล้อขับล้อตาม แขนประคองใบเลื่อยหากตั้งไม่ห่างจากชิ้นงานมากไปจะทำให้การตัดมีความแม่นยำมากขึ้นฝาครอบล้อขับล้อตามเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน ส่วนบริเวณโต๊ะงานจะมีแขนตั้งระยะในการตัดชิ้นงาน และระบบการหล่อเย็นของเครื่องเลื่อยสายพาน
6. จุดเด่นของเครื่องเลื่อยสายพานแนวตั้ง คืออะไร
ตอบ เครื่องเลื่อยสายพานแนวตั้ง มีความคล่องตัวในการตัดชิ้นงาน ซึ่งจะหมุนตัดชิ้นงานอย่างต่อเนื่องจุดเด่น ใช้ตัดงานเบา ตัดเป็นรูปทรงต่างๆ freefrom ตัดเหล็กแบน หรือเหล็กบางให้ขาด ซึ่งเครื่องเลื่อยแบบอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ จะเห็นบ่อยได้จากอุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์ ใช้เครื่องเลื่อยสายพานแนวตั้งตัดแต่งขึ้นรูปชิ้นงาน
7. เครื่องเลื่อยวงเดือน มีลักษณะเป็นอย่างไร
ตอบ เครื่องเลื่อยวงเดือน ลักษณะใบเลื่อยจะเป็นวงกลม มีฟันรอบ ๆ วง สามารถตัดชิ้นงานได้ อย่างต่อเนื่อง มักเป็นชิ้นงานบางๆ เช่น ไม้ อะลูมิเนียมสามารถตัดงานได้ทั้งลักษณะขึ้นอยูกับจำนวนฟันของใบเลื่อย เช่น 30 ฟัน 40 ฟัน 80 ฟัน ถ้าตัดชิ้นงานที่ตัดง่าย ควรเลือกฟันลักษณะห่าง ส่วนชิ้นงานที่มีความแข็งสูงควรเลือกฟันลักษณะถี่ ขนาดใบเลื่อย ใบเลื่อยวงเดือนมีขนาดตั้งแต่ 4” 7” 8” 9” และใหญ่กว่านั้น โดยจะขึ้นอยู่กับเครื่องเลื่อย
8. ราชาเครื่องกล (The King of all Machines) คือเครื่องชนิดใด
ตอบ เครื่องกลึง (Lathe Machine)
9. เครื่องกลึงมีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 1. เครื่องกลึงยันศูนย์ (Engine Lathe) เป็นเครื่องกลึงที่มีความเร็วรอบสูง ใช้กลึงงานได้หลายขนาดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ใหญ่เกินไป และกลึงงานได้หลายลักษณะ นิยมใช้ในโรงงานทั่ว ๆ ไป
2. เครื่องกลึงเทอร์เรท (Turret Lathe) เป็นเครื่องกลึงที่มีหัวจับมีดตัดหลายหัว เช่น จับมีดกลึงปากหน้า มีดกลึงปอกมีดกลึงเกลียว จับดอกเจาะยันศูนย์ เป็นต้น ทำให้การกลึงงานที่มีรูปทรงเดียวกันและมีจำนวนมาก ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การกลึงเกลียว การบู๊ช เป็นต้น
3. เครื่องกลึงตั้ง (Vertical Lathe) เป็นเครื่องกลึงที่ใช้ในงานกลึงปอก งานคว้านชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ เช่น เสื้อสูบ เป็นต้น
4. เครื่องกลึงหน้าจาน (Facing Lathe)
10. เครื่องกัด (Milling Machine) มีหน้าที่อะไร
ตอบ เครื่องกัดเป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่ง มีทั้งเครื่องกัดแกนเพลานอนและเครื่องกัดแกนเพลาตั้งมีความสามารถในการทํางานกัดลดขนาดผิวงาน กัดร่องหางเหยี่ยว กัดขึ้นรูปแบบต่างๆ และกัดเฟืองชนิด ต่างๆ นอกจากนั้นยังสามารถจับยึดหัวจับดอกสว่าน ดอกคว้านรูรีมเมอร์ได้อีกด้วย
11. ทิศทางการทํางานของงานกัดเป็นอย่างไร
ตอบ จะมีอยู่ด้วยกันสองทิศทาง คือ 1.การกัดสวนทาง (up milling)การกัดในลักษณะนี้จะทําให้ได้ผิวชิ้นงานเรียบ และ 2.การกัดตามทาง (down milling) การกัดในลักษณะนี้จะทําให้มีดกัดสั่นและใช้แรงกัดมาก ผิวชิ้นงานที่ได้จะเป็นคลื่นไม่เรียบ
12. เครื่องไส (Shappening Machine) มีหน้าที่อย่างไร
ตอบ เครื่องไสเป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่งที่ใช้ทุ่นแรงในการตัดเฉือนส่วนใหญ่จะใช้กับงานตัดผิวเรียบโดยการจับยึดชิ้นงานเข้ากับปากกาแล้วจับยึดชิ้นงานเข้ากับปากกาแล้วจับยึดปากกาเข้ากับแท่นของเครื่อง ให้คมตัดเคลื่อนตัดในแนวเส้นตรงผ่านกลับไปมาตลอดผิวหน้าของชิ้นงาน
13. มีดไสมีกี่ชนิด
ตอบ 2 ชนิดคือ
1. มีดไสใช้ประกอบกับด้ามจับ
2. มีดไสใช้ประกอบเข้ากับป้อมมีดได้ทันที
14. เครื่องไส มีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ เครื่องไสโดยทั่วไปแบ่งออกได้ดังนี้
1. เครื่องไสนอน
ป้อมมีดของเครื่องไสนอนเลื่อนกลับไปมาในแนวราบและชิ้นงานยึดจับด้วยปากกาหรือสกรูยึด
2. เครื่องไสตั้ง
ป้อมมีดของเครื่องไสตั้งเลื่อนกลับไปมาในแนวดิ่งและชิ้นงานยึดจับด้วยปากกาหรือสกรูยึด ประเภทงานไสที่ได้จากการไสด้วยเครื่องไสแนวตั้งได้แก่ การไสร่องลิ่มบนเฟือง การไสเฟือง
3. เครื่องไส Planer
ป้อมมีดของเครื่องไส Planer จะอยู่กับที่แต่โต๊ะงานเลื่อนกลับไปมาในแนวราบและชิ้นงานยึดจับด้วยปากกาหรือสกรูยึด ลักษณะเครื่องมีขนาดใหญ่ งานที่ผลิตจากเครื่อง Planer จะเป็นงานที่มีขนาดใหญ่
15. เครื่องเจาะมีกี่แบบ อะไรบ้าง
ตอบ 2 แบบคือ แบบตั้งโต๊ะและแบบตั้งพื้น
16. เครื่องเจาะรัศมี (Radial Drilling Machine) เป็นอย่างไร
ตอบ เป็นเครื่องเจาะขนาดใหญ่และเจาะรูบนชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่กว่าเครื่องเจาะตั้งพื้น โดยที่หัวจับดอกสว่านจะเลื่อนไป-มาบนแขนเจาะ (Arm) จึงสามารถเจาะงานได้ทุกตำแหน่ง โดยติดตั้งงานอยู่กับที่ การส่งกำลังปกติจะใช้ชุดเฟืองทด
17. เครื่องเจาะที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ คือเครื่องเจาะชนิดใด
ตอบ เครื่องเจาะหลายหัว (Multiple-spindle or Gang-type Drilling Machine)
18. เครื่องเจาะที่ออกแบบมาเพื่อให้สามารถทำงานได้หลายลักษณะ ทั้งการเจาะรู การคว้านรู การกัดและการกลึง มักจะพบในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ คือเครื่องเจาะชนิดใด
ตอบ เครื่องเจาะแนวนอน (Horizontal Drilling Machine)
19. เครื่องเจียระไนลับคมตัดโดยทั่ว ๆ ไป แบ่งออกเป็นกี่ชนิด
ตอบ 2 ชนิด คือ เครื่องเจียระไนแบบตั้งโต๊ะและเครื่องเจียระไนแบบตั้งพื้น
1. เครื่องเจียระไนแบบตั้งโต๊ะ (Bench Grinding) เครื่องเจียระไนชนิดนี้จะยึดติดอยู่กับโต๊ะ เพื่อเพิ่มความสูงและสะดวกในการใช้งาน
2. เครื่องเจียระไนแบบตั้งพื้น (Floor Grinding) เป็นเครื่องเจียระไนลับคมตัดที่มีขนาดใหญ่กว่าแบบตั้งโต๊ะ มีส่วนที่เป็นฐานเครื่อง เพื่อใช้ยึดติดกับพื้นทำให้เครื่องเจียระไนมีความมั่นคงแข็งแรงกว่าเครื่องเจียระไนแบบตั้งโต๊ะ
20. เครื่องเจียระไนราบ ( SURFACE GRINDING) มีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ เครื่องเจียระไนราบเป็นเครื่องมือที่ใช้เจียระไนงานที่เป็นพื้นราบและตรง เครื่องเจียระไนราบทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
1. เครื่องเจียระไนเพลานอน
2. เครื่องเจียระไนเพลาตั้ง
21. เครื่องเจียระไนทรงกระบอก ( CYLINDRICAL GRINDING) มีหลักการทำงานอย่างไร
ตอบ เครื่องเจียระไนทรงกระบอกเป็นเครื่องจักรซึ่งประกอบด้วยหินหมุนอยู่บนเพลานอน มีส่วนที่จับงานให้หมุนอยู่ตรงหน้าหินเพื่อให้งานถูกเจียระไนตลอดความยาว งานจึงสามารถเคลื่อนไปมาได้ การป้อนหินให้เจียระไนงานใช้วิธีเคลื่อนหินเข้าหางานหรือเคลื่อนงานเข้าหาหิน
******************
1. งานเขียนแบบมีความสำคัญอย่างไร
ตอบ งานเขียนแบบมีความสำคัญต่องานช่างทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ทุกคนต้องสเกตซ์หรือเขียนแบบพร้อมทั้งสามารถอ่านแบบได้ เนื่องจากการเขียนแบบเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในงานช่างอุตสาหกรรม ตลอดจนการจะผลิตชิ้นงานสิ่งประดิษฐ์ หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ก็จะต้องมีแบบงานเป็นหลัก
2. งานเขียนแบบแบ่งออกเป็นกี่ลักษณะ อะไรบ้าง
ตอบ 4 ลักษณะ ได้แก่ 1. งานเขียนแบบทางสถาปัตยกรรม 2. งานเขียนแบบไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ 3. งานเขียนแบบงานท่อ 4. งานเขียนแบบเครื่องกล
3. งานเขียนแบบเครื่องกล แบ่งเป็นกี่ลักษณะ อะไรบ้าง
ตอบ 2 ลักษณะ คือ
1 แบบภาพแยกชิ้น เป็นการเขียนแบบชิ้นส่วนแต่ละชิ้น ของเครื่องจักรกล หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ เพื่อแสดงลักษณะ รูปร่าง ขนาด และรายละเอียดของชิ้นส่วนแต่ละชิ้นให้ชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการอ่านแบบและเขียนแบบ เพื่อผลิตชิ้นส่วน นำไปประกอบเป็นเครื่องจักรต่อไป
2 แบบภาพประกอบ เป็นการเขียนแบบที่แสดงลักษณะรูปร่าง ชิ้นส่วนของเครื่องจักรกล หรืออุปกรณ์ต่างๆ ว่าประกอบกันอย่างไร ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นอยู่ตำแหน่งใด แบบภาพประกอบ มีส่วนสำคัญและจำเป็นต่อการผลิตชิ้นส่วน เพราะต้องแสดงการประกอบของชิ้นส่วนหลายๆ ชิ้น ทำให้สามารถวางแผนกระบวนการผลิต และการควบคุมการผลิตให้เป็นไปตามแบบงาน
5. มาตราส่วนที่ใช้ในการเขียนแบบออกเป็นกี่ประเภท
ตอบ 3 ประเภท ดังนี้ 1. มาตราส่วนจริง ขนาดของชิ้นงานที่เขียนแบบจะมีขนาดเท่าของจริง สัญลักษณ์ 1 : 1 ซึ่งมีขนาดเท่ากับของจริงนั้นๆ
2. มาตรราส่วนย่อ ขนาดของแบบงานจะย่อเล็กลงตามความเหมาะสม ซึางมีสัดส่วนดังนี้ 1 : 2, 1 : 5, 1 : 10, 1 : 100, 1 : 1000 ฯลฯ เลข 1 หมายถึง ขนาดจริง และ เลข 2 หมายถึง ย่อขนาดลงหรือครึ่งหนึ่งของของจริง นั่นคือ เป็นต้น มีใช้งานหลายขนาด ดังแสดงในตารางที่ 3
3. มาตราส่วนขยาย ขนาดของแบบงานจะขยายใหญ่กว่าแบบจริงที่กำหนด เขียนเป็นสัญลักษณ์ได้ เช่น 2 : 1 ซึ่งเลข 1 หมายถึงขนาดจริง เลข 2 หมายถึงขยายขนาดขึ้นเป็น 2 เท่า
6. การกำหนดขนาดของวิธีการเขียนแบบทำได้อย่างไร
ตอบ การกำหนดขนาดงานตามมาตรฐานสากล (ISO) จะกำหนดขนาดเป็นมิลลิเมตร โดยเขียนเพียงตัวเลขในแบบงาน ปกติจะกำหนดขนาดจากระนาบอ้างอิง เช่น เส้นกึ่งกลางของชิ้นงาน ซึ่งประกอบด้วยเส้นกำหนดขนาด เส้นช่วยกำหนดขนาด ตัวเลขและหัวลูกศร
7. การกำหนดขนาดมุม ควรกำหนดอย่างไร
ตอบ 1) ขนาดของมุมต้องมีหน่วยวัดเป็นองศา และถ้าเป็นมุมที่ต้องการความละเอียดมากขึ้น อาจกำหนดให้หน่วยวัดเป็นลิปดาและพิลิปดา เส้นกำหนดขนาดมุมต้องเป็นเส้นโค้ง โดยให้จุดศูนย์กลางของส่วนโค้งอยู่ปลายแหลมของมุมนั้น
2) มุมที่มีขนาดเท่ากันทั้งสองข้างเส้นศูนย์กลาง จะต้องกำหนดขนาดมุมนั้นรวมกันเป็นมุมเดียว
3) หากมุมที่กำหนดนั้นไม่ได้แสดงจุดปลายสุดของมุม จะต้องสร้างจุดปลายสุดของมุมโดยลากเส้นบาง หรือเส้นศูนย์กลางต่อจากเส้นหนาออกมาตัดกันให้มุมต่อกันครบสมบูรณ์
4) หากมุมนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ให้ถือเอาเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นเส้นกำหนดขนาด
8. ภาพฉาย คือ
ตอบ ภาพลายเส้นที่บอกขนาดสัดส่วนต่างๆ ที่อ่านค่าแล้วเอามาทำงานได้ ภาพฉายส่วนใหญ่จะเขียนหรืออ่านมาจากภาพไอโซเมตริกหรือภาพของจริง มองแต่ละด้านแล้วเขียนออกมาตามภาพที่มองเห็นนั้นๆ ในแต่ละด้านของชิ้นงานตามปกติชิ้นงานจะมีทั้งหมด 6 ด้าน เหมือนลูกเต๋า แต่ภาพในการทำงานจริงจะใช้เพียง 3 ด้าน เท่านั้น ในส่วนที่มองไม่เห็นจะเขียนแสดงด้วยเส้นประด้านของภาพที่ใช้งานจะเป็นด้านหน้า (Front View : F) ด้านข้าง (Side View : S) และ ด้านบน (Top View : T) เท่านั้น
9. การฉายภาพในปัจจุบันจะฉายภาพได้กี่แบบ
ตอบ 2 แบบ ตามความนิยม คือ อุตสาหกรรมทางยุโรป และอุตสาหกรรมทางอเมริกา ดังนี้
1. การฉายภาพมุมที่ 1 (FIRST ANGLE PROJECTION) เป็นการเขียนภาพฉายในครอดแลนด์ที่ 1 อาจเรียกการฉายภาพแบบ E-TYPE ใช้เขียนกันทางยุโรปซึ่งนิยมในทางปัจจุบัน
2. การฉายภาพมุมที่ 3 (THIRD ANGLE PROJECTION) เป็นการเขียนภาพฉายในครอดแลนด์ที่ 3 อาจเรียกการฉายภาพแบบ A-TYPE เป็นที่นิยมในอเมริกา
10. ภาพสามมิติหมายถึง
ตอบ การเขียนภาพโดยการนำพื้นผิวแต่ละด้านของชิ้นงานมาเขียนประกอบกันเป็นรูปเดียว ทำให้สามารถมองเห็นลักษณะรูปร่าง พื้นผิว ได้ทั้งความกว้าง ความยาว และความหนาของชิ้นงาน ทำให้ภาพสามมิติมีลักษณะคล้ายกับการมองชิ้นงานจริง
11. ภาพสามมิติมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอบ 1 ภาพสามมิติแบบ TRIMETRIC 2. ภาพสามมิติแบบ DIMETRIC 3. ภาพสามมิติแบบ ISOMETRIC
4. ภาพสามมิติแบบ OBQIUE 5. ภาพสามมิติแบบ PERSPECTIVE หรือ ภาพทัศนียภาพ
12. ภาพสามมิติประเภทใดที่นิยมเขียนมาก
ตอบ ภาพสามมิติแบบ ISOMETRIC เพราะภาพที่เขียนง่าย เนื่องจากภาพมีมุมเอียง 30 องศา ทั้งสองข้างเท่ากัน และขนาดความยาวของภาพทุกด้านจะมีขนาดเท่าขนาดงานจริง ภาพที่เขียนจะมีขนาดใหญ่มากทำให้เปลืองเนื้อที่กระดาษ
13. ภาพสามมิติประเภทใดที่นิยมเขียนมาก สำหรับงานที่มีรูปร่างเป็นส่วนโค้ง หรือรูกลม
ตอบ ภาพสามมิติแบบ OBQIUE เพราะสามารถเขียนได้ง่ายและรวดเร็วเนื่องจากภาพ OBQIUE จะวางภาพด้านหนึ่งอยู่ในแนวระดับ เอียงทำมุมเพียงด้านเดียว โดยเขียนเป็นมุม 45 องศา สามารถเขียนเอียงได้ทั้งด้านซ้ายและขวาความหนาของงานด้านเอียงขนาดลดลงครึ่งหนึ่ง ภาพ OBQIUE มี 2 แบบ คือ แบบคาวาเลียร์ (CAVALIER) และแบบคาบิเนต (CABINET)
14. แกนไอโซเมตริก เกิดจากเส้นใดทำมุมกัน
ตอบ เส้น XO, YO, ZO ทำมุมระหว่างกัน 120 องศา เท่ากันทั้งสามมุม
15. การเขียนภาพ ISOMETRIC ทุกภาพจะเริ่มจากส่วนใด
ตอบ เริ่มจากการเขียนเส้นร่างจากกล่องสี่เหลี่ยม โดยมีขนาดความกว้าง ความยาว และความสูง ซึ่งจะได้จากการกำหนดขนาดจากภาพฉาย จากนั้น เขียนรายละเอียดส่วนต่างๆ ของชิ้นงาน
ขั้นที่ 1 ขีดเส้นร่างแกนหลักทั้งสามแกน
ขั้นที่ 2 เขียนเส้นร่างกล่องสี่เหลียม โดยใช้ขนาด ความกว้าง ยาว และความหนาของชิ้นงาน
ขั้นที่ 3 เขีนเส้นร่างรายละเอียดของภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง และภาพด้านบนลงบน
กล่องสี่เหลียม
ขั้นที่ 4 ขีดเส้นเต็มหนาทับขอบเส้นร่างของ ด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน ของกล่องสี่เหลียม ISOMETRIC
16. ในการสเกตซ์ภาพ จะใช้อุปกรณ์ใดในการเขียน
ตอบ ดินสอ ยางลบ และกระดาษเท่านั้น
การเขียนภาพสเกตซ์ จะไม่ใช้สเกลในการเขียนภาพ ขนาดต่างๆ ของชิ้นงานจะประมาณด้วยสายตา แต่ถ้าใช้กระดาษชนิด CROSS-SECTION PAPER เขียนขนาดที่เรากำหนดก็ใช้วิธีนับช่องตาราง การเขียนภาพสเกตซ์จะให้ใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับขนาดที่แท้จริงของชิ้นงาน ถ้าชิ้นงานเล็กก็เขียนขยายให้ใหญ่พอที่จะอ่านแบบได้ง่าย
17. การลากเส้นสเกตซ์ภาพ มีการลากเส้นเส้นกี่ลักษณะ อะไรบ้าง
ตอบ 3 ลักษณะ คือ
1 การลากเส้นนอน ควรกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในการลากเส้นโดยประมาณด้วยสายตา อาจจุดด้วยดินสอเอาไว้ก่อนก็จะดี แล้วทำการลากเส้นโดยลากจากซ้ายไปขวา และลากเส้นใช้นิ้วก้อยเป็นตัวประคอง ข้อมือแข็ง แต่ข้อศอกและหัวไหล่ เคลื่อนไปตามแนวที่ลากเส้น ด้วยน้ำหนัก และความเร็วที่สม่ำเสมอ และแขนเป็นอิสระในการเคลื่อนที่
2.การลากเส้นในแนวดิ่ง ควรกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในการลากเส้นโดยประมาณด้วยสายตา อาจจุดด้วยดินสอเอาไว้ก่อนก็ได้ แล้วทำการลากเส้นโดยลากจากด้านบนลงมาด้านล่าง ขณะลากเส้นใช้นิ้วก้อยเป็นตัวประคอง ข้อมือแข็ง แต่ข้อศอกและหัวไหล่เคลื่อนไปตามแนวเส้นด้วยน้ำหนักและความเร็วที่สม่ำเสมอ
3. การลากเส้นเอียง ควรกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในการลากเส้น โดยประมาณด้วยสายตา อาจจุดด้วยดินสอเอาไว้ก่อนก็ได้ แล้วทำการลากเส้น โดยลากจากด้านล่างทางซ้ายมือไปด้านบนทางขวามือ หรืออาจจะหมุนกระดาษให้เป็นการลากเส้นในแนวนอนก็ได้ ขณะลากเส้นใช้นิ้วก้อยเป็นตัวประคอง ข้อมือแข็ง แต่ข้อศอกและหัวไหล่เคลื่อนไปตามแนวที่ลากเส้น ด้วยน้ำหนักและความเร็วที่สม่ำเสมอ
19. ภาพตัดประกอบด้วยส่วนประกอบใดบ้าง
ตอบ การเขียนภาพตัดเป็นการเขียนแบบภาพฉายด้านที่ต้องการแสดงให้เห็นรายละเอียดภายในชิ้นงานซึ่งมีส่วนประกอบดังนี้
1. สัญลักษณ์เส้นลายตัด จะเขียนด้วยลายเส้นเต็มบางเอียงทำมุม 45 องศากับแนวระดับ โดยมีระยะห่างระหว่างเส้นเท่ากันสม่ำเสมอในพื้นที่หน้าตัด
2. เส้นแนวตัด เป็นเส้นสมมติว่าตัดชิ้นงานผ่านแนวระนาบ แทนด้วยเส้นลูกโซ่หนัก ส่วนทิศทางการมองภาพจะเขียนด้วยหัวลูกศร ซึ่งเขียนด้วยเส้นเต็มหนักชี้เข้าหาเส้นแนวตัด ที่ปลายทั้งสองข้างมีตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่แสดงกำกับอยู่ข้างลูกศรด้วย
20. ภาพตัดที่เขียนในแบบงาน ได้แก่
ตอบ 1. ภาพตัดเต็ม (FULL SECTION) ภาพตัดเต็ม เป็นภาพที่ต้องการแสดงรายละเอียดภายในตลอดเต็มหน้าของชิ้นงานเสมือนผ่าแบ่งครึ่งชิ้นงานให้แยกออกจากกัน ดังรูป 9.5 แนวตัดในชิ้นงานระนาบเดียว หรือหลายระนาบ จะเรียกว่า ระนาบตัด ที่ทำให้เกิดพื้นที่ที่เรียกว่า พื้นที่ภาพตัด
2. ภาพตัดครึ่ง (HALF SECTION) เป็นภาพที่ตัดวัตถุออก 1 ใน 4 ส่วนของภาพ ภาพตัดครึ่งนี้ส่วนมากจะใช้ตัดวัตถุที่สมมาตรกัน เพื่อให้สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยตัดแยกตามเส้นศูนย์กลาง ส่วนที่ไม่ถูกตัดจะเขียนเป็นภาพปกติ ไม่ใช้เส้นประในภาพตัดครึ่ง จะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น
3.ภาพตัดเยื้องศูนย์ (OFFSET SECTION)
ภาพตัดเยื้องจะมีลักษณะพิเศษคือระนาบตัดเยื้องจะไปตามส่วนที่จะตัดส่วนที่สำคัญต่างๆ ของชิ้นงาน ภาพตัดเยื้องมีข้อดีคือ สามารถแสดงรูปร่างลักษณะ รูเจาะ หรือส่วนที่อยู่ภายในที่มีตำแหน่งไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกัน มาร่วมแสดงให้เห็นในแนวเดียวกัน
4. ภาพตัดลักษณะพิเศษ
21. ภาพตัดลักษณะพิเศษ ได้แก่
ตอบ 1 ภาพตัดเฉพาะส่วน (PARTIAL SECTION) ภาพตัดเฉพาะส่วนเป็นภาพตัดเพื่อแสดงรายละเอียดลักษณะรูปร่างที่อยู่ภายในชิ้นงานเฉพาะ บางทีก็เข้าใจแบบงานได้ เช่น บริเวณรูเจาะ ร่องลิ่ม การเขียนภาพตัดเฉพาะส่วนทำได้โดยการเขียนเส้นมือเปล่า (FREE HAND) เฉพาะบริเวณที่ต้องการแสดงรายละเอียด
2 ภาพตัดหมุนข้าง (ROTATED SECTION) ภาพตัดหมุนข้าง เป็นภาพการเขียนเพื่อแสดงรูปร่างหน้าตัดของชิ้นงานที่มีลักษณะเป็นท่อนยาว ทำได้โดยตัดบริเวณนั้น แล้วหมุนหน้างานไป 90 องศา เพื่อสามารถเข้าใจลักษณะหน้าตัดนั้นอย่างชัดเจน หรือยังสามารถเห็นลักษณะรูปร่าง สัดส่วนของชิ้นงานได้ตามปกติ
3 ภาพตัดหมุนเคลื่อน (REMOVEL SECTION) ภาพตัดหมุนเคลื่อน เป็นภาพตัดที่ใช้ในกรณีที่ชิ้นงานมีรายละเอียดแต่ละช่วงแตกต่างกัน และต้องการแสดงให้เห็นพื้นที่หน้าตัดของแต่ละช่วงนั้น เพราะไม่สามารถแสดงโดยภาพตัดหมุนข้างได้ จะทำให้ยุ่งยากในการอ่านแบบ จึงจำเป็นต้องยกออกมาแสดงให้เห็น
4 ภาพตัดหมุนโค้ง (ALIGNED SECTION) ภาพตัดหมุนโค้ง เป็นภาพตัดที่แสดงรายละเอียดของส่วนที่เอียงหรือบิดไปจากแนวศูนย์กลาง โดยการหมุนโค้งหรือลากเส้นฉายให้มาอยู่ในระนาบเดียวกัน
5 ภาพตัดย่อส่วน (CONVENTIONAL SECTION) สำหรับวัตถุที่มีรูปร่างยาวมากๆ เช่น งานเพลากลม ท่อกลม แท่งโลหะ ถ้าเขียนความยาวจริงทั้งหมดลงไปในกระดาษเขียนแบบจะไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากกระดาษเขียนแบบมีพื้นที่จำกัด ในลักษณะเช่นนี้ สามารถแก้ไขได้โดยใช้วิธีการตัดย่อส่วน การตัดย่อส่วนนี้จะย่อเฉพาะความยาว หน้าตัดของงานยังคงเดิมโดยจะย่อตรงกลางรูป มาตราส่วนต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม ลักษณะการตัดย่อรูปจะมีการเขียนแตกต่างกันไปตามลักษณะของวัตถุนั้น
22. ภาพช่วย หมายถึง
ตอบ ภาพที่แสดงรายละเอียดลักษณะที่แท้จริงของผิวงานด้านนั้น
23. ภาพช่วย แบ่งออกเป็นกี่ประเภท
ตอบ 1 ภาพช่วยที่มีลักษณะสมมาตร หมายถึง ภาพที่เมื่อลากเส้นแบ่งครึ่งภาพแล้ว ครึ่งซ้ายและครึ่งขวามีรูปร่างเหมือนกันและมีขนาดเท่ากันทุกประการ และให้ใช้เส้นแบ่งกึ่งกลางของภาพเป็นเส้นอ้างอิงหรือเป็นแนวสมมาตรได้ จากนั้นให้เขียนรูปไปทางซ้ายและทางขวาเท่าๆ กัน
2.ภาพช่วยที่มีลักษณะไม่สมมาตร หมายถึงภาพช่วย เมื่อลากเส้นแบ่งครึ่งภาพแล้วทั้งสองข้างมีรูปร่างไม่เหมือนกัน ขณะเขียนภาพช่วยแบบนี้ ให้ยึดเส้นอ้างอิงเป็นหลัก แล้วให้เขียนออกไป ทางใดทางหนึ่ง หรือเขียนออกไปทั้งสองข้างของเส้นอ้างอิงได้
25. กระดาษเขียนแบบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ
ตอบ กระดาษเขียนแบบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบนิ้ว และ ระบบมิลลิเมตร ต่อมาได้ปรับปรุงให้เป็นระบบสากล โดยใช้ระบบ ISO (International System Organization) ซึ่งยอมรับทั้งระบบอเมริกันและยุโรป
ถาม – ตอบ
งานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
1. การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางไฟฟ้าสามารถทำได้โดยวิธีใด
ตอบ การช่วยชีวิตผู้ถูกไฟฟ้าดูดที่หยุดหายใจ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น วิธีการผายปอดด้วยวิธีปากต่อปาก หรือวิธีนวดหัวใจ ซึ่งมี 2 วิธี เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพมากและได้ผลดีที่สุด ในการที่ช่วยให้ผู้ป่วยที่หยุดหายใจสามารถกลับมาหายใจด้วยตนเองได้ใหม่ ซึ่งวิธีการปฏิบัติทำได้โดยไม่ยุ่งยากและทำได้รวดเร็ว
2. ข้อควรปฏิบัติในการทำงานเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ มีอะไรบ้าง
ตอบ 1. ไม่ควรทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆขณะที่ยังมีแหล่งจ่ายไฟฟ้าต่ออยู่
2.เมื่อทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆขณะที่ยังเปิดใช้งานอยู่ ผู้ทำการตรวจซ่อมจะต้องป้องกันตนเองโดยไม่ยืนพื้นที่แฉะหรือพิงกับวัตถุที่เป็นโลหะใดๆและอาจป้องกันได้โดยการสวมรองเท้ายางหรือยืนบนเสื่อที่ทำจากพลาสติกหรือพรมเช็ดเท้า
3.ต้องปิดสวิตซ์อุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์และถอดปลั๊กออกทุกครั้งก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วนใดๆ
4. ไม่ควรใส่กำไล แหวน หรือ นาฬิกา ขณะทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆทั้งสิ้นเนื่องจากสิ่งของเหล่านี้มีค่าความต้านทานต่ำและเป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าได้ดี
5. ก่อนทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆจะต้องตรวจสภาพทั่วไปว่าอุปกรณ์เหล่านั้นมีการสึก มีรอยร้าว มีการไหม้ของสายหรือมีการแตกของปลั๊กหรือไม่
6. ขณะทำการตรวจซ่อมต้องแน่ใจว่ามีบุคคลอื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย ทั้งนี้เพื่อคอยช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
7. ต้องตรวจสอบดูว่าสวิตซ์ปิดเปิดของอุปกรณ์อยู่ที่ตำแหน่งใดก่อนทพการตรวจซ่อมเสมอ
3. เอซีโวลต์มิเตอร์ คืออะไร
ตอบ มิเตอร์วัดแรงดันไฟสลับ หลักการใช้มิเตอร์ชนิดนี้จะเหมือนกับดีซีโวลต์มิเตอร์ คือในการใช้งานจะต้องนำไปวัดคร่อมขานกับโหลดที่ต้องการวัดแรงดันนั้น จะมีส่วนที่แตกต่างจากดีซีโวลต์มิเตอร์ คือในการใช้มิเตอร์วัดคร่อมแรงดันหรือแหล่งจ่ายไฟไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงขั้วมิเตอร์ เพราะแรงดันไฟสลับจะมีขั้วสลับไปสลับมาตลอดเวลา
4. ขั้นตอนการใช้เอซีโวลต์มิเตอร์ คือ
ตอบ 1. ต่อเอซีโวลต์ในขณะวัดค่าแรงดันคร่อมขนานกับโหลด
2. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ในย่าน ACV
3. ปรับสวิตซ์ตั้งย่านการวัดให้ถูกต้อง หากไม่ทราบค่าที่จะวัดว่าเท่าไร ให้ตั้งย่านวัดที่ตำแหน่งสูงสุด (1,000 V) ไว้ก่อน แล้วจึงปรับลดย่านให้ต่ำลงทีละย่านจนกว่าเข็มมิเตอร์จะชี้ค่าที่อ่านได้ง่ายและถูกต้อง
4. ก่อนต่อมิเตอร์วัดแรงดันไฟสูงๆควรจะปิดสวิตซ์ไฟของวงจรที่จะวัดเสียก่อน
5. อย่าจับสายวัดหรือมิเตอร์ขณะวัดแรงดันไฟสูง เมื่อวัดเสร็จเรียบร้อยควรปิดสวิตซ์ไฟของวงจรที่ทำการวัดเสียก่อนจึงปลดสายวัดของมิเตอร์ออกจากวงจร
5. ดีซีโวลต์มิเตอร์ คืออะไร
ตอบ มิเตอร์วัดแรงดันไฟฟ้าตรง ในการใช้ดีซีโวลต์วัดแรงดันไฟตรงจะต้องต่อดีซีโวลต์มิเตอร์วัดคร่อมขนานกับโหลดที่ต้องการวัดแรงดัน ขั้วของดีซีโวลต์มิเตอร์ที่จะต่อวัดคร่อมโหลดต้องมีขั้วเหมือนแรงดันที่ตกคร่อมโหลด
6. ขั้นตอนการใช้ดีซีโวลต์มิเตอร์ คือ
ตอบ 1. ต่อดีซีโวลต์ในขณะวัดค่าแรงดันคร่อมขนานกับโหลด
2. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ในย่าน DCV
3. ปรับสวิตซ์ตั้งย่านการวัดให้ถูกต้อง ถ้าหากไม่ทราบแรงดันไฟที่จะทำการวัดให้ตั้งย่านวัดที่ตำแหน่งสูงสุด ไว้ก่อน แล้วปรับลดย่านให้ต่ำลงทีละย่านจนกว่าเข็มมิเอตร์จะชี้ค่าที่อ่านได้ง่ายและถูกต้อง
4. ในตำแหน่งที่วัดด้วยดีซีโวลต์มิเตอร์ไม่ขึ้นแต่ขณะแตะสายวัดขั้วบวกเข้าไปหรือขณะดึงสายวัดขั้วบวกออกมา เข็มมิเตอร์จะกระดิกเล็กน้อยเสมอ แสดงว่าจุดนั้นเป็นแรงดันไฟสลับ
5. การวัดแรงดันไฟตรงในวงจรจะต้องต่อสายวัดให้ถูกต้องโดยนำสายวัดขั้วลบ สีดำจับที่ขั้วลบของแหล่งจ่ายนำสายวัดขั้วบวก (+) สีแดงของมิเตอร์ไปวัดแรงดันตามจุดต่างๆ
7. ดีซีแอมมิเตอร์หรือดีซีมัลลิแอมมิเตอร์คืออะไร
ตอบ มิเตอร์วัดกระแสไฟตรง เพื่อจะทราบจำนวนกระแสที่ไหลผ่านวงจรมีค่าเท่าไร การใช้ดีซีแอมมิเตอร์วัดกระแสไฟตรงในวงจรจะต้องตัดไฟแหล่งจ่ายออกจากวงจรและนำดีซีแอมมิเตอร์ต่ออันดับกับวงจรและแหล่งจ่ายไฟ ขั้วของดีซีแอมมิเตอร์จะต้องต่อให้ถูกต้องมิเช่นนั้นเข็มมิเตอร์จะตีกลับอาจทำให้มิเตอร์เสียได้
8. ขั้นตอนการใช้ดีซีมัลลิแอมมิเตอร์ คือ
ตอบ 1. การต่อดีซีมัลลิแอมมิเตอร์วัดกระแสในวงจรจะต้องต่ออันดับกับโหลดในวงจร
2. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ในย่าน DCmA
3. ปรับสวิตซ์ตั้งย่านการวัดให้ถูกต้อง ถ้าหากไม่ทราบกระแสที่จะทำการวัดให้ตั้งย่านวัดที่ตำแหน่งสูงสุด (
4. ก่อนต่อมิเตอร์วัดกระแสไฟสูงๆควรจะปิดสวิตซ์ไฟของวงจรที่จะวัดเสียก่อน
5. เมื่อวัดเสร็จเรียบร้อยควรปิดสวิตซ์ไฟของวงจรที่ทำการวัดเสียก่อนจึงปลดสายวัดของมิเตอร์ออกจากวงจร
9. โอห์มมิเตอร์คืออะไร
ตอบ มิเตอร์ที่สร้างขึ้นมาไว้วัดค่าความต้านทานของตัวต้านทาน (R) โดยอ่านค่าออกมาเป็นค่าโอห์ม โดยมีย่านการวัดทั้งหมด 5 ย่าน คือ ×1, ×10, ×100, ×1k, ×10k อ่านค่าความต้านทานได้ตั้งแต่ 2 กิโลโอห์ม ถึง 20 เมกกะโอห์ม
10. ขั้นตอนการใช้โอห์มมิเตอร์ คือ
ตอบ 1. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ที่ย่านโอห์ม
2. ใช้สายวัดสีแดงเสียบเสียบเข้าที่ขั้วต่อขั้วบวก และสายวัดสีดำเสียบเข้าที่ขั้วต่อขั้วลบ
3. ปรับซีเล็กเตอร์สวิตซ์ตั้งย่านวัดให้ถูกต้อง
4. ก่อนนำโอห์มมิเตอร์ไปใช้วัดทุกครั้งและทุกย่านจะต้องทำการปรับ 0 โอห์มเสมอ
5. ถ้าจะนำโอห์มมิเตอร์ไปวัดค่าความต้านทานในวงจรต้องแน่ใจว่าปิดสวิตซ์ไฟทุกครั้ง
11. มัลติมิเตอร์ประกอบด้วยเครื่องวัดดังต่อไปนี้คือ
ตอบ 1. แอมมิเตอร์ ใช้สำหรับวัดค่ากระแสไฟฟ้า
2. โวลต์มิเตอร์ ใช้สำหรับวัดค่าแรงดันไฟฟ้า
3. โอห์มมิเตอร์ ใช้สำหรับวัดค่าความต้านทาน
12. ข้อควรระวังในการใช้เครื่องวัดไฟฟ้าคือ
ตอบ 1. อย่าให้มัลติมิเตอร์มีการกระทบกระเทือนอย่างแรง เช่น ตก หล่นจากที่สูง เพราะจะทำให้เครื่องมือชำรุดเสียหาย
2. ควรวางมัลติมิเตอร์ในตำแหน่งราบ ขณะใช้งานและเลิกใช้งาน
3. ก่อนทำการวัดทุกครั้งต้องแน่ใจว่าเลือกย่านการวัดถูกต้องเสมอ
4. ตั้งค่าสเกลสูงสุดของย่านการวัดขณะวัดจุดที่ไม่ทราบค่าแน่นอน
5. ห้ามใช้ย่านวัดโอห์มวัดค่าแรงดันไฟตรงหรือแรงดันไฟสลับ
6. เมื่อวัดแรงดันไฟต้องใช้สายวัดให้ถูกขั้ว+ - เสมอ
7. เมื่อเลือกย่านวัดโอห์มไม่ควรให้ปลายสายวัดแตะกันนานเกินไป
8. เมื่อเลิกใช้งานควรถอดสายวัดออกและปรับสวิตซ์เลือกย่านไปที่ OFF
9. ไม่ควรให้มัลติมิเตอร์เกิด Overload บ่อยครั้งขณะทำการวัดต้องดูตำแหน่งของย่านการวัดให้เหมาะสมกับวงจรที่จะวัด
10. มัลติมิเตอร์ที่ใช้ไม่ได้เป็นเวลานาน ก่อนใช้ควรหมุน
11. ควรจัดเก็บมัลติมิเตอร์ให้อยู่ในเครื่องห่อหุ้มเสมอ
13. เครื่องกำเนิดสัญญาณที่สามารถนำไปใช้งานได้หลายหน้าที่และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ
ตอบ Function Generator
14. การต่อโดยให้ขั้วบวกของเซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของเซลล์ถัดไป เรียกว่าอะไร
ตอบ การต่ออนุกรมหรือการต่อแบบอันดับ
15. แหล่งกำเนิดไฟฟ้าแบ่งเป็นกี่ชนิด
ตอบ 4 ชนิด ได้แก่ 1. แบตเตอรี่ 2. เซลล์แสงอาทิตย์ 3. เจนเนอเรเตอร์
4. แหล่งจ่ายไฟฟ้าแบบอิเล็กทรอนิกส์
16. สูตรการคำนวณหาค่าความต้านทานที่ต่อกันแบบอันดับคือ
ตอบ
RT = R1 + R2, + R3 +……
โดยที่ RT คือ ค่าความต้านทานรวม
R1, R2, R3, คือ ค่าความต้านทานตัวที่ 1,2,3 ตามลำดับ
17. จากรูป จงคำนวณหาค่าความต้านทานรวม
วิธีทำ RT = R1 + R2, + R3 + R4
= 25 + 20 + 33 + 10
= 88 โอห์ม
18. สูตรการคำนวณหาค่าความต้านทานที่ต่อกันแบบขนานคือ
ตอบ
19. จากรูป จงคำนวณหาค่าความต้านทานรวม
20. กระแสไฟฟ้าเกิดจากอะไร
ตอบ เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งภายในตัวนำไฟฟ้า การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนเกิดจากการนำวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าต่างกันมาวางใกล้กัน
21. กระแสไฟฟ้ามีหน่วยเป็นอะไร
ตอบ แอมแปร์ (A)
22. กระเสไฟฟ้าแบ่งออกเป็นกี่ชนิด
ตอบ 2 ชนิด คือ ไฟฟ้ากระแสตรง และไฟฟ้ากระแสสลับ
23. ไฟฟ้ากระแสตรง หมายถึงอะไร
ตอบ กระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจากแหล่งจ่ายไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆได้เพียงทิศทางเดียว
24. ไฟฟ้ากระแสสลับ หมายถึงอะไร
ตอบ กระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจากแหล่งจ่ายไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆโดยมีการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาตลอดเวลา
25. จงคำนวณหาค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าของวงจรไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้าขนาด 50 โวลต์ และมีค่าความต้านทานของวงจรเท่ากับ 5 โอห์ม ดังรูป
26. แรงดันไฟฟ้า หมายถึงอะไร
ตอบ แรงดันที่ทำให้อิเล็กตรอนเกิดการเคลื่อนที่ หรือแรงที่ทำให้เกิดการไหลของกระแสไฟฟ้า
27. แรงดันไฟฟ้ามีหน่วยเป็นอะไร
ตอบ โวลต์
28. จงคำนวณหาแรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อมตัวต้านทาน R1 มีค่าความต้านทานเท่ากับ 200 โอห์ม มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน 100 มิลลิแอมป์ ดังแสดงในรูป
29. พลังงานไฟฟ้า มีหน่วยเป็นอะไร
ตอบ จูล
30. พลังงาน 1 จูล มีค่าเท่ากับ
ตอบ 1 วัตต์ – วินาที