แนวข้อสอบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในลักษณะว่าด้วยพยานหลักฐาน
1. พยานที่มาให้การในเรื่องที่พยานนั้นได้ยินได้ฟังจากคนอื่นที่เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอีกทอดหนึ่งเรียกว่า
ก. พยานเหตุผลหรือพยานแวดล้อมกรณี ข. พยานบอกเล่า
ค. พยานเดี่ยว ง. พยานทางอ้อม
ตอบ ข. พยานบอกเล่า หมายถึง พยานบุคคลที่มิได้สัมผัสข้อเท็จจริงที่เบิกความมาด้วยตนเอง แต่รับทราบมาจากการบอกเล่าของบุคคลอื่น หรือจากบันทึกที่บุคคลอื่นทำไว้ เช่น คำเบิกความว่าแดงเล่าให้ฟังว่าเห็น ก. แทง ข. ดังนี้ คำเป็นพยานบอกเล่า
2. สิ่งต่อไปนี้ข้อใดเป็นพยานเอกสาร
ก. รูปร่างลักษณะบุคคล ข. ภาพถ่ายห้องพิพาท
ค. แผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุ ง. ถูกเฉพาะข้อ (ข) และข้อ (ค)
ตอบ ค. พยานเอกสาร คือ ข้อความใดๆ ในเอกสารที่มีการอ้างเป็นพยาน แผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหจุ เป็นการแสดงข้อความรูปภาพในเอกสารจึงเป็นพยานเอกสาร ส่วนรูปร่างลักษณะของบุคคลและภาพถ่ายห้องพิพาทเป็นพยานวัตถุ เพราะเป็นการแสดงแทนวัตถุ
3. ข้อใดต่อไปนี้จัดเป็นพยานชั้นที่ 1
ก. คำของพยานบุคคลที่อ้างว่าได้อ่านข้อความในเอกสาร
ข. ต้นฉบับเอกสาร
ค. สำเนาเอกสาร
ง. ถูกทั้งข้อ (ก) (ข) และข้อ (ค)
ตอบ ข. พยานชั้นหนึ่ง หมายถึง พยานหลักฐานชั้นที่ดีที่สุดในบรรดาหลักฐานทั้งหลายที่มุ่งพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่พิพาทโต้แย้งกัน ฉะนั้น ต้นฉบับเอกสารจึงจัดเป็นพยานชั้นหนึ่ง
4. ข้อใดต่อไปนี้จัดเป็นพยานบอกเล่า
ก. พยานเบิกความว่าได้เห็นเหตุการณ์ในตอนที่ ก. วิ่งมา โดยมีร่างกายเปรอะเปื้อนโลหิตมีอาวุธติดตัวมาด้วย เมื่อกลับถึงบ้านรีบเล่าให้ภรรยาฟัง
ข. ตำรวจเบิกความว่า พอเกิดเหตุแล้วจำเลยออกมาจากสถานที่เกิดเหตุ มีผู้ตามจำเลยออกมาชี้บอกให้จับจำเลยว่าแทงผู้ตาย
ค. พยานเบิกความว่าเมื่อ ข ถูกฟันแล้ว ข ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจระบุชื่อว่า ก เป็นผู้ฟัน ข.
ง. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ค. พยานบอกเล่า หมายถึง พยานบุคคลที่มิได้สัมผัสข้อเท็จจริงที่เบิกความมาด้วยตนเอง แต่รับทราบมาจากการบอกเล่าของบุคคลอื่น หรือจากบันทึกที่บุคคลอื่นทำไว้ เช่น คำเบิกความว่าแดงเล่าให้ฟังว่าเห็น ก.3 แทง ข. ดังนี้ คำเป็นพยานบอกเล่า
5. พยานมีกี่ชนิด
ก. 2 ชนิด ข. 3 ชนิด
ค. 4 ชนิด ง. 5 ชนิด
ตอบ ข. พยานมี 3 ชนิด คือ พยานวัตถุ พยานเอกสาร และ พยานบุคคล
6. สิ่งต่อไปนี้ข้อใดเป็นพนายวัตถุ
ก. ศิลาจารึก ข. ป้ายเลขทะเบียนรถยนต์
ค. บาดแผล ง. ถูกหมดทุกข้อ
ตอบ ค. พยานวัตถุ คือ วัตถุหรือสิ่งของที่ควบคู่ความอ้างเป็นพยาน บาดแผลไม่ถือเป็นพยานบุคคล เพราะ พยานบุคคล คือ ผู้ที่มาเบิกความต่อศาลด้วยวาจา สำหรับศิลาจารึกและป้ายเลขทะเบียนรถยนต์เป็นพยานเอกสารเพราะเป็นการอ้างข้อความใดๆ ในเอกสารเป็นพยาน
7. พยานบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปได้รู้ได้เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในขณะเดียวกันและได้รู้เห็นเหตุการณ์นั้นอย่างเดียวกันเรียกว่า
ก. พยานร่วม ข. พยานคู่
ค. พยานสมทบ ง. พยานพิเศษ
ตอบ ข. ในคดีอาญานั้นถ้าเป็นไปได้โจทย์มักจะนำประจักษ์พยาน 2-3 คน มาเบิกความพิสูจน์ความผิดของจำเลย เพื่อให้ศาลเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงโดยปราศจากข้อสงสัยอันสมควร หากโจทย์มีประจักษ์พยานเพียงคนเดียว เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธโอกาสที่ศาลจะไม่ลงโทษจำเลยก็มีอยู่มาก
8. ข้อใดเป็นเอกสารเอกชน
ก. สำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ข. ประกาศนียบัตร
ค. หนังสือประวัติศาสตร์ ง. โฉนดที่ดิน
ตอบ ค. เอกสารเอกชน หมายถึง เอกสารที่เอกชนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ในฐานะเอกชนได้จัดทำขึ้น โดยหลักทั่วไปการอ้างเอกสารเอกชนจะต้องนำสืบด้วยต้นฉบับเอกสารและต้องมีพยานบุคคลมาสืบประกอบให้เห็นว่าได้มีการทำเอกสารนั้นขึ้นด้วย
9. ข้อใดเป็นเอกสารมหาชน
ก. ทะเบียนสำมะโนครัว ข. ทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท
ค. พจนานุกรม ง. ถูกหมดทุกข้อ
ตอบ ง. เอกสารมหาชน คือ เอกสารที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้จัดทำให้มีขึ้น เพื่อประโยชน์แก่ประชาชน
ให้ประชาชนได้ตรวจดูและอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานได้
10. ข้อใดต่อไปนี้ที่เป็นพยานหลักฐานใช้ยืนยันผู้กระทำผิดได้
ก. คราบโลหิตในที่เกิดเหตุ ข. ผลการพิสูจน์จากเครื่องจับเท็จว่าผู้นั้นกล่าวเท็จ
ค. ผลการพิสูจน์จากเครื่องวัดความเมาสุรา ง. ถูกเฉพาะข้อ (ก) และ (ค)
ตอบ ก. คราบโลหิตในที่เกิดเหตุ จัดเป็นพยานวัตถุที่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อยืนยันตัวผู้กระทำผิดได้
11. บุคคลใดบ้างที่ใช้เป็นพยานได้
ก. คนหูหนวกทั้งสองข้าง ข. บุคคลอ่านและเขียนหนังสือไม่ได้
ค. คนตาบอดทั้งสองข้าง ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. บุคคลใดที่ใช้เป็นพยานได้ บุคคลนั้นต้อง
1. สามารถเข้าใจคำตอบ และตอบคำถามได้
2. เป็นผู้ที่ได้เห็นได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น
12. บุคคลใดบ้างที่ใช้เป็นพยานไม่ได้
ก. ชาวต่างประเทศ ข. หูหนวกและเป็นใบ้
ค. คนป่วยเจ็บ ง. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ง. ชาวต่างประเทศและคนป่วยเจ็บไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานแต่อย่างใด ส่วนคนหูหนวก และเป็นใบ้อาจถูกถามหรือให้คำตอบ โดยวิธีเขียนหนังสือ หรือโดยวิธีอื่นใดที่สมควรได้และคำเบิกความดังกล่าว ให้ถือเป็นพยานบุคคล
13. ข้อใดบ้างต่อไปนี้เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ก. การวินิจฉัยว่ารูปลักษณะของบาดแผลทำให้รูปหน้าเสียโฉมหรือไม่
ข. ถ้อยคำที่จะเลยกล่าวเป็นการแสดงอาฆาตมาดร้ายหรือไม่
ค. การทำหรือใช้เอกสารปลอมนำจะเกิดความเสียหายหรือไม่
ง. ปัญหาที่ว่าพยานหลักฐานใดศาลควรยอมให้สืบหรือไม่
ตอบ ง. ปัญหาข้อเท็จจริงเป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความโต้เถียงกัอยู่นั้นมีอยู่อย่างไร เป็นอย่างไร เช่น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์ในบ้านผู้เสียหายหรือไม่ หรือ ปัญหาที่ว่าพยานหลักฐานใดศาลควรยอมให้สืบหรือไม่
14. ข้อใดบ้างต่อไปนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ก. ปัญหาที่ว่านายตำรวจผู้ทำการสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนหรือไม่
ข. ปัญหาที่ว่าศาลควรไปเผชิญสืบตรวจสถานที่บริเวณเกิดเหตุหรือไม่
ค. ปัญหาว่าจำเลยได้สมคบกันกระทำผิดหรือไม่
ง. ฟ้องของโจทย์มีมูลคดีในทางอาญาหรือไม่
ตอบ ค. ปัญหาข้อกฎหมาย ได้แก่ ปัญหาเกี่ยวกับการตีความในตัวบทกฎหมายต่างๆ การตีความถ้อยคำในเอกสาร นิติกรรมสัญญาและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ตลอดจนการตีความในคำฟ้องและการนำข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้วมาปรับกับตัวบทกฎหมาย เช่น ฟังโจทย์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยได้สมคบกับกระทำผิดจริงหรือไม่
15. ข้อใดบ้างต่อไปนี้ ไม่เป็น ปัญหาข้อเท็จจริง
ก. ปัญญาที่ว่าการกระทำอย่างไรจึงจะเป็นความผิดฐานพยายาม
ข. ปัญหาที่ว่าจำเลยได้มีเจตนาแกล้งฟ้องหรือไม่
ค. ปัญหาที่ว่า สมควรจะรอการลงโทษจากจำเลยหรือไม่
ง. ถูกทั้งข้อ (ก) และ (ค)
ตอบ ค. ปัญหาที่ว่าสมควรจะรอการลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นการนำข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้ว คือ จำเลยกระทำผิดจริง มาปรับกับตัวบทกฎหมาย คือ จะรอการลงโทษหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
16. บุคคลตามข้อใดไม่ต้องห้ามออกหมายเรียกเป็นพยาน
ก. พระมหากษัตริย์ ข. พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา
ค. เด็กอายุยังไม่ถึง 14 ปี ง. ผู้ได้รับเอกสิทธิ์หรือความคุ้นกันตามกฎหมาย
ตอบ ค. กฎหมายกำหนดไม่ให้ออกหมายเรียกบุคคลดังนี้มาเป็นพยาน
1. พระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ไม่ว่าในกรณีใดๆ
2. พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา ไม่ว่ากรณีใดๆ
3. ผู้ได้รับเอกสิทธิ์หรือความคุ้นกันตามกฎหมาย
17. พยานในข้อใดต่อไปนี้ เมื่อได้รับหมายเรียกของศาลแล้วจำต้องไปศาล
ก. นางชีในพระพุทธศาสนา ข. บุคคลหย่อนความรู้สึกผิดชอบ
ค. เด็กอายุไม่เกิน 14 ปี ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. พยานที่ได้รับหมายเรียกโดยชอบ จำต้องไปศาล ณ สถานที่และตามวันเวลาที่กำหนดไว้ เว้นแต่มีเหตุเจ็บป่วยหรือมีข้อแก้ตัวอันจำเป็นอื่น โดยได้แจ้งเหตุนั้นให้ศาลทราบแล้ว และศาลเห็นว่าข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวนั้นฟังได้
18. ข้อเท็จจริงใดบ้างที่คู่ความไม่ต้องนำสืบ
ก. ถ้อยคำภาษาไทยที่ว่า ผู้พิพากษากินไข่ ข. จารีตประเพณีท้องถิ่น
ค. การแต่งตั้งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ง. เขตดุสิตกับเขตพระนครมีเขตติดต่อกันอย่างไร
ตอบ ข. จารีตประเพณีท้องถิ่นเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลรู้ได้เอง คู่ความไม่ต้องนำสืบ
19. พยานในข้อใดต้องสาบานหรือปฏิญาณตนก่อนเบิกความ
ก. คนใบ้ ข. บุคคลอายุ 18 ปี
ค. พระสงฆ์เขมร ง. ถูกเฉพาะข้อ (ก) และ (ข)
ตอบ ง. พระสงฆ์เขมรถือว่าเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงไม่ต้องสาบานก่อนเข้าเบิกความ
20. ตามหลักกฎหมาย ก่อนเบิกความพยานทุกคนต้องสาบานหรือปฏิญาณตน บุคคลใดบ้างต่อไปนี้ที่มีสิทธิไม่ต้องสาบานหรือปฏิญาณตน
ก. บุคคลอายุต่ำกว่า 15 ปี ข. ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ค. พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. กฎหมายกำหนดให้บุคคลดังต่อไปนี้มีสิทธิไม่ต้องสาบานก่อนเบิกความคือ
1. พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ไม่ว่ากรณีใดๆ
2. บุคคลที่อายุต่ำกว่า 15 ปี หรือบุคคลที่ศาลเห็นว่าหย่อนความรู้สึกผิดและชอบ
3. พระภิกษุและสามเณรในพระพุทธศาสนา
21. ในการวินิจฉัยคดีของศาล คำรับสารภาพของจำเลยต่อพนักงานสอบสวนข้อใดที่รับฟังได้
ก. จำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวน เพราะพนักงานสอบสวนกล่าวว่า “ถ้าให้การรับเสียแล้วเขาจะปล่อยสามี”
ข. จำเลยรับสารภาพโดยพนักงานสอบสวนแนะนำว่า “ให้รับเสียดีๆ จะกันไว้เป็นพยาน”
ค. พนักงานสอบสวนพูดว่า “ทำจริงก็รับเสียโทษจะเบา”
ง. จำเลยรับสารภาพเพราะพนักงานสอบสวนพูดว่า “ไห้รับเสียคงได้รับความกรุณาจากศาล เพราะเรื่องนี้มีหลักฐาน”
ตอบ ง. พยานหลักฐานที่จะใช้อ้างเป็นพยานในชั้นศาลได้นั้นจะต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็น หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น
22. ข้อใดเป็นสิทธิของพยานที่จะไม่ยอมเบิกความเนื่องจากคำถามของคู่ความ
ก. เป็นคำถามที่หมิ่นประมาทพยาน
ข. เป็นคำถามที่จะให้ผู้พิพากษาตุลาการต้องเบิกความถึงการพิจารณาพิพากษาคดี
ค. เป็นคำถามอันไม่เกี่ยวกับประเด็นในคดี
ง. ถูกทั้งข้อ (ก) และ (ค)
ตอบ ง. พยานมีสิทธิที่จะไม่ยอมเบิกความในเรื่องดังต่อไปนี้
1. คำถามอันไม่เกี่ยวกับคดีแห่งคดี
2. คำถามที่อาจทำให้พยานหรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกต้องรับโทษทางอาญาหรือคำถามที่ เป็นหมิ่นประมาทพยาน เว้นแต่คำถามเช่นนั้นจะเป็นข้อสาระสำคัญในอันที่จะชี้ขาดข้อพิพาท
3. คำถามที่อาจทำให้พยานถูกฟ้องคดีอาญา
23. คำรับสารภาพของจำเลยข้อใดที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาลดโทษได้
ก. คำรับสารภาพในชั้นศาล ข. คำรับสารภาพในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
ค. คำรับสารภาพในชั้นสอบสวน ง. ถูกหมดทุกข้อ
ตอบ ง. คำรับสารภาพของจำเลยที่ศาลจะพิจารณาลดโทษได้ คือ 1) คำรับสารภาพในชั้นศาล
2) คำรับสารภาพในชั้นสอบสวน 3) คำรับสารภาพในชั้นสอบสวน
24. บุคคลจำพวกใดเมื่อไปเป็นพยานศาลแล้วจะไม่ยอมเบิกความหรือคำตอบ คำถามก็ได้
ก. คนใบ้ ข. พระสงฆ์
ค. บุคคลซึ่งอายุต่ำกว่า 7 ปี ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ข. พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์หรือพระภิกษุสามเณรในพุทธศาสนา แม้มาเป็นพยานจะไม่ยอมเบิกความหรือคำตอบ คำถามใดๆ ก็ได้